เมื่อลองนึกถึงคำว่า “ชุด PPE” เชื่อว่าหลายคนคงคิดถึงภาพของแพทย์และพยาบาลที่สวมใส่ชุดป้องกันแบบเต็มตัว เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้ว PPE หรือ Personal Protective Equipment เป็นคำที่ใช้เรียกอุปกรณ์ที่ช่วยคุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล ตั้งแต่อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ ใบหน้าและดวงตา ลำตัว มือ แขน และขา รวมไปถึงอุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ ซึ่งชุด PPE นั้นมีหลากหลายประเภท แตกต่างกันไปตามการใช้งานและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อ สารเคมี ความร้อน หรือความเย็น เป็นต้น ก่อนจะสั่งซื้อชุด PPE จึงต้องทำการศึกษาหรือขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญก่อน
ชุด PPE มีหลายประเภทให้เลือกใช้งาน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของงานภาคสนามและอันตรายที่ผู้ปฏิบัติงานอาจพบเจอ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทหลักของชุด PPE ได้ ดังนี้
หลายคนคงคิดว่าการสวมใส่แค่ ”ชุด” PPE ก็เพียงต่อการป้องกันแล้ว เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ป้องกันลำตัวได้อย่างครอบคลุม อย่างไรก็ตาม อันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ บนทุกส่วนของร่างกาย ฉะนั้นในการปฏิบัติงานจึงต้องสวมใส่อุปกรณ์ที่สำคัญให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหมวกนิรภัย หน้ากาก รวมไปถึงถุงมือและรองเท้า เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับการป้องกันที่ครอบคลุม ไม่เกิดอันตราย บาดเจ็บ หรือเกิดการสูญเสียขณะปฏิบัติงาน ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ทุกท่านสั่งซื้อชุด PPE แบบครบเซ็ต โดยมีอุปกรณ์ป้องกันครอบคุลมมากที่สุด
ในด้านการแพทย์ ชุด PPE นั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่
ชุด PPE ทางการแพทย์นั้นถูกใช้งานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่วนชุด PAPR หรือ Power Air Purifying Respiratory เป็นอุปกรณ์ชุดพัดลมกรองอนุภาคระดับสูงที่จะต่อเข้ากับชุดคลุมศีรษะ เมื่อเปิดสวิตช์ ตัวพัดลมก็จะทำการดูดอากาศผ่านตัวกรองแล้วส่งอากาศมาที่ชุดคลุมศีรษะ ดังนั้นภายในชุดคลุมศีรษะจะมีแรงดันอากาศมากกว่าภายนอก (Positive Pressure) จึงทำให้เชื้อโรคและเชื้อไวรัสต่าง ๆ ไม่สามารถเข้ามาถึงตัวผู้สวมใส่ได้นั่นเอง
โดยอุปกรณ์ PAPR นั้นถูกผลิตออกเพื่อแพทย์วิสัญญี ศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดทางเดินระบบหายใจ หู คอ จมูก และศัลยแพทย์ด้านหลอดลมและปอด เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง อีกทั้งการผ่าตัดยังต้องใช้เวลานาน หากสวมใส่เพียงชุด PPE ก็อาจทำให้อึดอัด ร้อน และวิงเวียนศีรษะ จนทำให้ประสิทธิภาพการของแพทย์ทำงานลดลงได้ ซึ่งชุด PAPR สามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้นั่นเอง